วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ประสบการณ์การผ่าตัด "ฝีคัณฑสูตร" กับ ศ.ดร.อรุณ โรจนสกุล

ประสบการณ์การผ่าตัด "ฝีคัณฑสูตร" (Fistula in ano) กับ ศ.ดร.อรุณ โรจนสกุล
เนื่องจากผมได้รับการตรวจวินิจฉัยจาก อาจารย์อรุณว่าเป็นฝีคัณฑสูตร เลยพยายามค้นหาข้อมูลต่างซึ่งยังมีข้อมูลน้อยมากที่เป็นภาษาไทย ผมเลยคิดว่าระหว่างการพักฟื้นแผลผ่าตัดนี้อยากจะเขียนบทความเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้กับคนที่กำลังจะเป็นหรือคนที่เป็นแล้วแต่อายหมอไม่กล้าไปตรวจ หรือกลัวการผ่าตัดก็แล้วแต่ให้รู้จักและเข้าใจฝีคัณฑสูตร

รู้จัก "ฝีคัณฑสูตร" กันก่อน

ก่อนอื่นขอแนะนำทำความรู้จักฝีคัณฑสูตรเสียก่อน คนทั่วไปพอได้ยินว่าเป็นเป็น "ฝี" ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ต้องถึงขั้นนอนโรงพยาบาลผ่าตัด แต่จริงๆแล้ว "ฝีคัณฑสูตร" ไม่ใช่ฝีธรรมดาที่ขึ้นตามผิวหนังและไม่ใช่ญาติกับโรคริดสีดวง(จริงแล้วอันตรายกว่าริดสีดวงอีก) มีขบวนการเกิดดังนี้

  1. ต่อมผลิตเมือกบริเวณปลายลำไส้ (เมือกที่ช่วยให้เราถ่ายได้สะดวกลื่นๆ) เกิดการอุดตัน ด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ที่ทุกวันนี้ยังหาสาเหตุไม่ได้ และคนที่เป็นมันไม่รู้ตัวในระยะนี้
  2. เกิดหนองตรงต่อมเมือกนั้นแล้วเซาะออกจากผนังลำไส้ ทำทางเป็นท่อเล็กๆเดินทางไปมุ่งลงไปยังก้นหรือบริเวณรอบปากทวาร ซึ่งเส้นทางไม่แน่นอน บางที่ก็แตกแขนงเป็นรากไม้ลงไป ของผมโชคดีที่เป็นแบบท่อเดียวไม่มีแตกแขนง
  3. เมื่อท่อหนองนี้เดินทางมาจนถึงผิวหนังแล้วจะเกิดอาการอักเสบ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เลยเพราะไม่มีอาการใดๆ จนระยะนี้ผมเริ่มคลำได้มีก้อนแข็งๆเป็นไตๆที่ตรงใกล้รูทวาร แล้วเวลาถ่ายจะเจ็บ (ในตอนแรกคิดว่าเป็นริดสีดวงซะอีก) จากนั้นเมื่ออักเสบมากๆก้อนแข็งนั้นจะแตกออกมา แล้วหนองจะถูกระบายออก จากที่เมื่อกี๊ในข้อ 1 มันมีท่อที่ตรงลำไส้ใช่ไหม ตอนนี้มันมีท่อทะลุมาที่ผิวหนังแล้ว นั่นหมายความว่าเรามีท่อทางด่วนพิเศษจากลำไส้ตรงมาออกที่ผิวหนัง โดยไม่ต้องผ่านหูรูด ดังนั้นสิ่งสกปรกก็สามารถวิ่งผ่านท่อทางด่วนพิเศษนี้ออกมาที่ผิวหนังได้โดยตรง แต่มันจะออกมาในลักษณะหนองเสียมากกว่าเพราะร่างกายพยายามกำจัดเชื้อโรค
ภาพแสดงการเริ่มเกิดท่อหนอง

ภาพแสดงเมื่อท่อเซาะจนถึงผิวหนังด้านนอก

ส่วนข้อมูลรายละเอียดมากกว่านี้ผมไม่ขออธิบาย จะมีการแบ่งประเภทของฝีฯ การเจาะฝีฯ ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่เราต้องไปรู้ เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่ต้องวินิจฉัยว่าเราเป็นประเภทไหน ต้องเจาะหรือผ่าตัด หรือไม่ต้องทำอะไรเลยขึ้นอยู่กับแต่ละคน

ตอนเริ่มสงสัยว่าเป็น
วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังถ่ายรู้สึกเหมือนเจ็บๆ และคลำเจอก้อนแข็งๆข้างๆหูรูดในแนวของร่องก้นฝั่งด้านหลัง ตอนแรกคิดว่าเป็นริดสีดวงแต่ก็สงสัยว่าถ้าเป็นริดสีดวงมันต้องมีเส้นเลือดปูดออกมาจากลำไส้แต่นิมันเป็นที่ขอบทวาร เลยลองค้นคว้าอ่านในอินเตอร์เน็ทซึ่งที่เป็นภาษาไทยแบบละเอียดๆมีน้อยมาก คนที่มาเล่าประสบการณ์ก็ไม่ค่อยมี เลยไปอ่านเว็บต่างประเทศจนสรุปได้ว่าผมมีโอกาสเป็นฝีคัณฑสูตร เนื่องจากเคยผ่าตัดหูรูดมาก่อนจึงมีโอกาสต่อมเมือกอุดตันง่าย แต่สิ่งที่ยากคือ ต้องหาหมอที่เก่งพอที่จะแยกแยะว่าอันไหนที่เกิดจากฝีธรรมดา หรือฝีคัณฑสูตร หรือโรคอื่น

หารายชื่อหมอเก่งๆ..
ในที่สุดก็พบว่าหมอที่เก่งๆในประเทศไทยมีหลายท่าน แต่มีท่านหนึ่งชื่อ ศ.นพ.อรุณ โรจนสกุล ท่านมีความเชี่ยวชาญมาก ทำวิจัยเรื่องฝีคัณฑสูตรมาหลายสิบปีมีผลงานวิจัยหลายฉบับ มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังเป็นผู้คิดค้นวิธีการผ่าตัดด้วยเทคนิค LIFT กล่าวง่ายๆคือการผ่าตัดโดยไม่ทำให้หูรูดเสีย และยังควบคุมการขับถ่ายได้ (ในสมัยก่อนทั้งในแต่ต่างประเทศจะต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อหูดออกเมื่อเอาท่อหนองออก อาจารย์ท่านนี้เป็นคนคิดค้นวิธีการรักษานี้จนแพร่หลายในต่างประเทศ) แต่ท่านปลดเกษียณไปแล้วตั้งแต่ปี 54 นอกจากนี้ก็ยังมีแพทย์อีกหลายท่านเก่งๆ เช่น รศ.นพ.ชูชีพ สหกิจรุ่งเรือง ท่านเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อรุณ คือ เท่าที่ทราบในวงการ Colorectal Surgery อ.อรุณ เปรียบเสมือนแบรนด์เนม หรือเกจิอาจารย์ดัง ที่ใครเป็นลูกศิษย์ถือว่าเป็นเก่งมาก

หาที่รักษา..
ต่อมาก็ตามหาว่า แพทย์เก่งๆเหล่านั้นอยู่ รพ.ไหน รวมไปถึงต้องหาโรงพยาบาลใกล้บ้าน, ใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก ตอนนั้นมีอยู่ใน list คือ
  • โรงพยาบาลจุฬา - เหตุผลเพราะเป็นโรงพยาบาลรัฐจึงราคาถูก มีทั้ง อ.อรุณ และอ.ชูชีพ รักษาที่นี่ อีกทั้งอยู่ใกล้ MRT สีลม, BTS ศาลาแดง และยังใกล้ที่ทำงาน แต่ปัญหาคือต้องรอคิวนานมาก จะพบหมอทีต้องไปรอตั้งแต่เช้ามืดและกว่าจะเสร็จก็ต้องลางานเป็นวันๆ อีกทั้งส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาแพทย์เป็นผู้รักษาผ่าตัด เพราะถ้าเคสไม่ใหญ่มากก็ไม่ถึงมืออาจารย์แพทย์
  • โรงพยาบาลเปาโล - เหตุผลเพราะผมใช้บัตรประกันสังคมได้ เลือก รพ.เปาโลไว้ ทำให้ช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ ใกล้ BTS สะพานควาย แต่ปัญหาคือไม่มีหมอเฉพาะทางด้านลำไส้ใหญ่แล้วทวาร อีกทั้งมีข่าวแง่ลบของการรักษาแบบใช้บัตรประกันสังคมของ รพ. นี้เยอะมาก
  • โรงยาบาลกรุงเทพคริสเตียน - เหตุผลเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนคุณภาพใช้ได้ แม้พยาบาลจะดุๆไปหน่อยแต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการรักษานิ! อยากรักษากับหมอชูชีพในราคาถูกหน่อยในรพ.เอกชนต้องที่นี้เลย
  • โรงพยาบาล BNH - เหตุผลเพราะอ.ชูชีพ รักษาที่นี่ด้วย แต่ติดว่าราคาแพงไปหน่อย เดินทางลำบาก
  • โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท - เหตุผลเพราะมีแพทย์เก่งๆ เช่น อ.ชิงเยี่ยม และ อ.พรเทพ เก่งทางด้านลำไส้ใหญ่และทวารหนักทั้งคู่ แต่เดินทางลำบากไปหน่อยเช่นกัน 
  • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ - เหตุผลเพราะมีท่านเกจิ อาจารย์อรุณ แต่ติดว่าราคาคงแพงมาก เพราะเป็นโรงพยาบาลหรูอันดับต้นๆของประเทศไทยเลย
เริ่มตัดตัวเลือก รพ. และนัดผ่าตัด
พอได้ List ของ รพ. ทั้งหมดก็มาตัดตัวเลือกออกไป และที่อยู่ในใจมาเป็นอันดับ 1 ตอนนั้นคือ รพ.กรุงเทพคริสเตียน แต่ก็อยากมีตัวเลือกสัก 3 รพ.ไว้  ในที่สุดก็เหลือ รพ.เปาโล, รพ.กรุงเทพคริสฯ, รพ.บำรุงราษฎร์

ดังนั้นเงื่อนไขสุดท้ายคือเรื่องราคา ถ้าราคาไม่ต่างกันมากคงจะเลือกรักษากับปรมาจารย์ คือ อ.อรุณ จึงได้ไปทั้ง 3 รพ.ประเมินราคา โดยการไปเป็นผู้ป่วยนอกให้หมอตรวจและขอนัดผ่าตัดเพื่อแอดมิดเป็นผู้ป่วยในเลย จะได้รู้ราคาแต่ละที่ ซึ่งเมื่อมาเปรียบเทียบราคารวมค่าห้องด้วย พบว่า
  • รพ. เปาโล ประมาณ 6 หมื่น
  • รพ. กรุงเทพคริสฯ ประมาณ 7 หมื่น
  • รพ. บำรุงราษฎร์ บอกมาเป็นช่วง 6-9 หมื่น (แต่สอบถามหมอตอนในห้องตรวจหมอบอกว่า 6 หมื่น)
ดังนั้นในเมื่อราคาไม่แตกต่างกันมาก เลยเลือก รพ.บำรุงราษฎร์ แล้วก็โทรไปยกเลิก รพ.อื่นๆ ซึ่งบาง รพ.จะมีการสอบถามว่าเหตุใดจึงยกเลิก ผมเลยใช้เหตุผลว่าอาการดีขึ้น (เพราะตอนนั้นอาการดีขึ้นจริงๆไม่เจ็บเวลานั่งแล้ว) ไม่อยากใช้เหตุผลเรื่องราคาเดี๋ยวจะเกิดการต่อรองไปมาไม่สิ้นสุด (แต่ในใจอยากจะบอกมากเลยว่า รพ.เก่ามาก ห้องตรวจก็เก่าพื้นสกปรกมาก พยาบาลก็ดุจังไม่มียิ้มเลย ทำไมราคาแพงอย่างนี้.. เฮ้อ..แต่เอาเถอะรักษาน้ำใจกันไว้ดีกว่า)

ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้ว รพ.เอกชน ค่าผ่าตัดไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก

ก่อนวันผ่าตัด 1 วัน
เกิดอาการตื่นเต้น จริงๆตื่นเต้นมาหลายวันแล้ว แต่วันก่อนผ่าตัด 1 มันกังวลและกลัวไปหมด เพราะผ่าคราวที่แล้วเจ็บตัวไปเป็นเดือนกว่าแผลจะหาย แต่ก็พยายามทำใจสบายๆ แล้วก็พยายามคิดว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เลยเอาเช็คลิสต์มาให้ดูว่าควรเตรียมอะไรใส่กระเป๋าบ้าง
  • เอกสารส่งตัวผ่าตัด
  • เสื้อผ้าและกางเกงในสะอาดๆสำหรับใส่กลับ 1 ชุด
  • หมอนโดนัท (อันนี้หาซื้อไม่ได้เลย เลยไม่ได้เตรียม)
  • แปรงสีฟันส่วนตัว ถ้าไม่อยากใช้ของ รพ.
  • ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้า
  • ที่ชาร์ทมือถือ หูฟัง และอุปกรณ์ไอที เผื่อใช้งานระหว่างอยู่ที่ รพ.
  • รองเท้าที่สวมสบายๆ นิ่มๆ
  • หนังสืออ่านเล่นแก้เหงา (ผมเอาหนังสือ .NET 4.5 ไปอ่าน แต่บางคนชอบหนังสือธรรมะก็ตามแต่ชอบใจ)
  • ที่โกนหนวดไฟฟ้า
  • ยาดม
  • ยาประจำตัว
  • ฯลฯ
ส่วนการเตรียมร่างกายตอนเย็นของวันก่อนผ่าตัด 
  • ตอนแรกเข้าใจว่าต้องโกนขนบริเวณรอบๆจุดผ่าตัด แต่โทรไปถามพยาบาลบอกว่าไม่ต้อง ถ้าจะโกนเดี๋ยวคุณหมอจะสั่ง skin prepare ตอนผ่าตัดเลย อีกอย่างถ้าโกนไปโดยคุณหมอไม่ได้สั่ง เวลาขนขึ้นมาใหม่อาจจะแข็งและแทงแผลผ่าตัดทำให้เจ็บและรำคาญได้
  • พยายามถ่ายให้หมด และงดอาหารและน้ำ โดยปรกติแพทย์จะสั่งให้งดก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ช.ม. แต่ผมงดอาหารก่อนประมาณ 15 - 16 ช.ม. จะได้เหลือกากอาหารในลำไส้น้อยที่สุด แล้วงดดื่มน้ำประมาณ 10 ช.ม.
  • ตัดเล็บ, โกนหนวดให้เรียบร้อย เพราะคงอีกหลายวันกว่าจะได้ตัดอีก
  • พยายามนอนให้หลับเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายพร้อมกับการผ่าตัด
  • ถ้าใครมี สร้อย แหวน ฟันเหล็ก คอนแทค ถอดออกเตรียมไว้เลย เพราะไม่ให้ใส่เข้าห้องผ่าตัด
แอดมิทเป็นผู้ป่วยใน นอนรอผ่าตัด
สำหรับผมหมอนัดผ่าตัด 10 โมง ก็ควรไปถึง รพ.ก่อน 3 ช.ม. ก็เลยตื่นตั้งแต่ตี 5 อาบน้ำสระผมขัดถูทุกซอกทุกมุมเพราะคงไม่ได้อาบอีกหลายวัน จากนั้นก็ขับรถไป รพ. ไปถึงตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ปรากฎว่าเคาร์เตอร์รับแอดมิดผู้ป่วยในเปิด 7 โมง เลยต้องนั่งรอก่อน แต่ก็ดีไปอย่างเพราะจะได้ลดความตื่นเต้น ห้องรับผู้ป่วยในของ รพ.บำรุงราษฎร์จะอยู่ชั้น 2 (ถัดจากชั้นแมคโนนัล) ระหว่างรอก็นั่งกินน้ำผลไม้ที่เขาเตรียมไว้ให้เพลินเลย
ห้องรับผู้ป่วยใน

จากนั้นเจ้าหน้าที่จะรับขวัญด้วยห่วงข้อมือ บนนั้นจะมีข้อมูลของผู้ป่วย จากนั้นพนักงานจะแจ้งห้องพัก ซึ่งผมเลือกห้องพักแบบห้องเดี่ยวธรรมดา (คือห้องเดี่ยวประเภทราคาถูกสุด ราคา 6 พันกว่าต่อคืน โอ้วเห็นราคาแล้วจะเป็นลม เท่ากับเงินเดือนของข้าพเจ้าสมัยทำงานในมหาวิทยาลัย) 
ภาพสายรัดข้อมือ ที่มีข้อมูลผู้ที่จะผ่าตัด

อันนี้ถูกใจมาก คือมี Account Wi-Fi ให้ใช้งานฟรี 5 วัน ความเร็วก็พอใช้ได้


รีวิวห้องพักผู้ป่วย (แบบห้องเตียงเดี่ยวธรรมดา เลือกแบบราคาต่ำที่สุด)
เมื่อถึงห้องจะมีพยาบาลมาแนะนำการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆในห้อง
ภาพบริเวณเตียงผู้ป่วย

บริเวณแคนทีน มีไมโครเวฟ และตู้เย็นพร้อม มีกระติกน้ำร้อนพร้อมไมโลกับกาแฟมาเติมให้เรื่อยๆ
ส่วนดอกไม้และหนังสือพิมพ์จะเอาเปลี่ยนให้ทุกเช้าครับ

วิวเมื่อมองออกไป มีแต่ตึก ตึก ตึก.. ย่านสุขุมวิท ม่ายสดชื่นเอาเสียเลย

ตรงนี้ชอบ เพราะมีปุ่มควบคุมได้หมด ทั้งแอร์ ไฟทุกดวง สามารถกด เปิด-ปิด ม่านไฟฟ้าได้จากตรงนี้

ตรงหัวเตียงก็มีปลั๊กแบบยูนิเวลแซล พร้อม USB มีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ของหัวเตียง

ขึ้นมาจากปลั๊ก ก็เป็นพวกของพยาบาลเขา เช่นออกซิเจน, สายกดเรียก ฯลฯ

ปุ่มกดข้างๆเตียง

ข้างๆเตียงด้านในมีปุ่มควบคุมเยอะไปหมด แต่ที่ผมใช้จริงๆก็แค่ ยกเตียงขึ้นลง, ยกหัวนอนขึ้นเวลากินข้าว

ในห้องน้ามีอุปกรณ์ครบ ไดร์เป่าผมอยู่ในห้องนี้ด้วย มีที่จับยึดช่วยเวลาลุกนั่งชักโครก 
ดูไปแล้วคล้ายๆโรงแรมผสมโรงพยาบาล

รายการอาหารให้เลือกมากมาย

ในแต่ละวัน จะมีรายการอาหารมาให้เลือก เช้า กลางวัน เย็น เราก็วงๆไป วันนั้นอยากกินซีซ่าร์สลัด กับสเต็กหมูซอสเกรวี่ 

เดี๋ยวจะน้อยใจว่าไม่มีส่วนของคนเยี่ยม เลยถ่ายรูปมาให้ดูสักรูป สำหรับส่วนของคนเยี่ยม มีโซฟาให้ชุดหนึ่ง ซึ่งนอนได้ ตรงหัวนอนมีไฟอ่านหนังสือ, หูฟัง จะได้ไม่รบกวนผู้ป่วย และควบคุมม่านไฟฟ้ากับสวิซต์ไฟแสงสว่างได้เช่นเดียวกับผู้ป่วย

ถึงเวลาผ่าตัด
เมื่อนอนกลิ้งไปกลิ้งมา พยายามไม่ให้ตื่นเต้น ในที่สุดก็ถึงเวลาผ่าตัด คุณพยาบาลจะให้นอนอีกเตียงหนึ่งซึ่งเป็นเตียงไฮโดลิค แล้วเข็นไปห้องผ่าตัด ซึ่งอยู่ชั้น 5 

จากนั้นก็ถูกนำตัวไปเข้าห้องเตรียมก่อนผ่าตัด ปรากฎว่าความดันขึ้นสูงมาก 160/90 เพราะตื่นเต้นจัด เลยต้องนอนรอสักพักให้หายตื่นเต้น แล้วก็ใส่น้ำเกลือ

ระหว่างรอจะมีวิสัญญีแพทย์จะเข้ามาคุย ว่าเราต้องการบล็อคหลัง หรือ ดมยาสลบ ผมเลือกแบบผสมผสานเองคือ บล็อคหลังชาครึ่งตัวล่าง + ให้ยานอนหลับ เพราะไม่ชอบให้เอาสายยางมาใส่ปากเวลาดมยาสลบ แต่อยากได้อารมณ์ว่าสลบอยู่ไม่อยากรับรู้ ซึ่งคุณหมอวิสัญญี ก็ใจดีบอกว่าเดี๋ยวจัดให้ คุณหมอวิสัญญีใจดีมาก เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าหมอเองก็เป็น เคยผ่ามาแล้ว 2 ครั้ง

เมื่อหายตื่นเต้น ความดันลงมาปรกติก็เข็นไปยังห้องผ่าตัด ห้องผ่าตัด รพ.นี้ทันสมัยมาก ทันสมัยกว่าที่ รพ.กรุงเทพคริสฯ เยอะเลย อุปกรณ์ต่างๆใหม่เอี่ยม เครื่องวัดสัญญาณชีพเป็นแบบดิจิตอลหมด จากนั้นพยาบาลก็ให้นอนตะแคงทำตัวโค้งๆเป็นกุ้งแล้วก็ฉีดยาบล๊อกหลัง จากนั้นก็ฉีดยานอนหลับ

เมื่อวิสัญญีทำให้เราไม่รู้สึกตัวแล้วหมอก็เริ่มผ่าตัด ตอนนี้ผมก็หลับสบายไปครับ ตอนนอนระหว่างผ่าตัดฝันว่าได้กินอาหารที่ไหนไม่รู้น่ากินมาก สงสัยเพราะความหิว ฮาๆ

หลังจากผ่านไปประมาณ 1 ช.ม. หมอผ่าตัดเสร็จ ก็ตื่นพอดี ไม่รู้ว่าตื่นเพราะยานอนหลับหมดฤทธิ์พอดี หรือว่าตื่นเพราะมียาช่วยให้ตื่น

พยาบาลก็พาไปห้องพักรอฟื้น ตอนนั้นหนาวมาก จนต้องเอาที่เป่าลมร้อนมาเป่าในผ้าห่ม ช่วยให้สบายตัวขึ้นเยอะ พอพักให้ห้องนั้นสัก 2 ช.ม.ได้ หลับๆตื่นๆ และเหมือนกับมีแค่ครึ่งตัวบน ส่วนครึ่งตัวล่างไม่รู้สึกตัวเลย พอสักพักก็ถูกเข็นขึ้นมาบนห้องพักผู้ป่วย

ขั้นตอนการผ่าตัด
แพทย์จะหาท่อเชื่อมระหว่างผิวหนังกับลำไส้ บางท่านจะใช้เส้นพลาสติกเล็กๆแยงเข้าไปที่รูหนองออก แล้วแยงจนกว่าทะลุมาที่ลำไส้ ก็จะรู้ว่าเส้นทางของท่อไปทางไหน แพทย์บางท่านก็ใช้ความชำนาญคลำหาในลำไส้ได้

จากนั้นแพทย์บางท่านก็จะผูกด้วยไหม แล้วทำการผ่าตัดเลาะท่อนี้ออก ซึ่งแพทย์ที่ชำนาญจะคลำหาท่อได้เร็ว และสามารถผ่าเอาท่อหนองออกได้หมด โอกาสกลับมาเป็นอีกก็น้อยลง และเสียเนื้อดีน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งการผ่านี้แล้วแต่เทคนิคของหมอแต่ละท่าน และหน้างานว่าลักษณะท่อเป็นอย่างไร แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ บางคนอาจจะผ่าลึกเข้าไป บางคนผ่ายาวออกมาถึงแก้มก้น แต่ไม่ต้องกังวลเพราะแพทย์จะดูแลเลาะท่อให้หมดอยู่แล้ว


หลังผ่าตัด 2 ช.ม.
พอขึ้นมาห้อง หิวมากครับ พอดีมีอาหารมาพอดี เลยซัดจนอิ่ม พยาบาลถามว่าเวียนหัวไหม พะอืดพะอมไหม คันตามผิวหนังไหม ผมบอกว่าไม่มีเลยหิวอย่างเดียว

พยาบาลจะมาเช็คความดัน และมาสอบถามเป็นระยะๆ ดูเอาใจใส่ดีมาก แล้วก็เอาโถปัสสาวะมาให้ ผมก็พยายามเบ่ง แต่ไม่รู้สึกช่วงล่างเลยเบ่งไม่ออก จึงเอาโถปัสสาวะวางไว้ระหว่างขาไว้เลยเผื่อปวด
ปรากฎว่าจริงๆแล้วฉี่ออกมาแบบไม่รู้ตัวตั้งนานแล้ว เปียกที่นอนหมดเลย ต้องให้พยาบาลเอาที่นอนมาเปลี่ยนใหม่ พอกดเรียกพยาบาลมาเร็วมาก ไม่เกิน 1 นาทีถึงห้องแล้ว แถมหาแผ่นรองกันเลอะมาให้อีก บริการดีมากๆ

หลังผ่าตัด 6 ช.ม. ความปวดเริ่มมา
หลังจากพยายามดื่มน้ำเยอะๆปัสสาวะเยอะๆ เพื่อขับฤทธิ์ยาออกจากร่ายกายได้หลาย ml. แล้ว ก็เริ่มมีอาการปวด หน่วงๆที่ทวาร พอยกก้นดู โอ้ว..เลือดเต็มที่นอนเลย ต้องเปลี่ยนแผ่นรองใหม่ อีกที 

พอปวดมากๆ ก็กดเรียกพยาบาล ขอยาแก้ปวด ซึ่งพยาบาลจะให้ยาตั้งแต่ระดับอ่อน เช่น พาราฯ แล้วถ้าเรายังปวดอยู่ก็จะให้ยาแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนฉีดมอร์ฟีน ของผมถึงขั้นฉีดมอร์ฟีนเลยครับ

พอสักพักน้ำเกลือหมด ก็กดเรียกพยาบาลอีก (กดเรียกบ่อยมากจนเกรงใจเลย) พยาบาลก็มาดูๆแล้วเห็นว่าผมดื่มน้ำได้ ทานอาหารได้ปรกติ และปัสสาวะได้เองแล้ว ก็เลยเอาน้ำเกลือออก แต่ยังค้างเข็มน้ำเกลือที่มือไว้อยู่ เผื่อเอาไว้ฉีดยา

ค่ำคืนแรกของการผ่าตัด
แม้จะเป็นผ่าตัดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็เจ็บแผลมากจนนอนไม่หลับ แต่ระหว่างกลางคืนไม่ได้ขอยามอร์ฟีน เพราะอยากพยายามหลับเอง และพยายามจิบน้ำตลอด เพื่อจะได้ปัสสาวะไล่ของเสียออกจากร่างกาย
ส่วนเรื่องความเจ็บปวดคงเป็นของคู่กับการผ่าตัดขอไม่อธิบายแล้วกันครับ

การดูแลหลังวันผ่าตัด
เมื่อ อ.อรุณ มาตรวจแล้ว ก็บอกว่า การดูแลคือ ล้างด้วยน้ำประปาเท่านั้น ไม่ต้องแช่ก้นด้วยด่างทับทิม หรือยาอื่น อ.อรุณให้เหตุผลว่า การใช้ยาจะไปทำลายเชื้อโรคดี ทำให้แผลอาจจะหายช้า ซึ่งจากประสบการณ์ของ อ. ท่านบอกว่า การแช่หรือไม่แช่ การหายเท่ากัน บางทีการแช่จะหายช้ากว่าด้วย เพราะไปขัดขวางกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อ

ซึ่งผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อในตอนแรก จึงมาอ่านงานวิจัยของต่างประเทศหลายฉบับ พบว่าเป็นจริงอย่างที่อ.ท่านบอกจริงๆ คือ ในงานวิจัยของต่างประเทศเขาทดสอบการปล่อยให้แผลหายเอง กับแช่น้ำใส่ยา พบว่าการแช่น้ำใส่ยาทำให้หายช้าและเจ็บปวดกว่า โดยสรุปๆข้อดีของการปล่อยให้เป็นน้ำหนองน้ำเหลือหายเองที่อ่านมาดังนี้ครับ
  • ทำให้อาการเจ็บน้อยลงเพราะปลายประสาทแช่อยู่ในน้ำเหลือง
  • เซลล์ที่จะมาสร้างเนื้อเยื่อ สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วในแผลแบบเปียก แล้วในน้ำเหลืองมีอาหารสำหรับเซลล์เกิดใหม่ ทำให้เนื้อเยื่อประสานกันเร็วขึ้น
  • น้ำเหลืองที่ร่างกายผลิตใหม่จะขับน้ำเหลืองเก่าออกไป ทำให้ป้องกันเชื้อโรคเข้ามาตรงบริเวณเนื้อเยื้อที่อักเสบได้
  • การรักษาแบบแผลเปียกนี้ใช้ได้เฉพาะแผลสด แผลผ่าตัด และเป็นบาดแผลที่ไม่ติดเชื้อเท่านั้น
จะถ่ายอย่างไร?
อันนี้เป็นข้อสงสัยตั้งแต่ก่อนผ่าตัดแล้วว่า จะถ่ายอย่างไร ในเมื่อเราไปผ่านตัดตรงรูทวารตรงหูรูดพอดี อ.อรุณบอกว่า ถ่ายได้เลย เอาแล้วให้สะอาดเช็ดให้แห้ง พยายามอย่างให้ท้องผูก

พอกลับมาบ้านถ่ายวันแรก โอ้วเจ็บมาก เลือดสดๆไหลเป็นน้ำเลย พอเสร็จธุระก็ล้างด้วยน้ำประปาตามที่ อ.อรุณบอก แต่มันแสบไปหมด จากนั้นก็ใช้ทิชชู่เช็ดให้แห้ง แถมด้วยไปเป่าลมอีกที ปรากฎว่าหลังจากนั้นสักพัก เอ๊ะ..อาการเจ็บแบบหน่วงๆหายไป เหลือแต่เจ็บแผลผ่าตัดเจ็บแบบแหลมๆ เลยจะบอกว่าคนที่ผ่าตัดทวารไม่ต้องกลัวครับ ร่างกายเราสามารถปรับตัวได้ไม่ต้องห่วง

...
ณ ตอนนี้แผลยังไม่หาย หมอให้ลาพักผ่อน 1 สัปดาห์ แล้วน่าจะดีขึ้นครับ

ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนเล่าต่อว่าหลังจากนี้แล้วแผลเป็นอย่างไรครับ